ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องเรียนว่า ตนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าควบคุมตัว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจข่มขู่บังคับให้ผู้ร้องเรียนเป็นสายลับเพื่อจับกุมผู้ค้ายาเสพติด เนื่องจากทราบว่าผู้ร้องเรียนเพิ่งได้รับการพักการลงโทษในคดียาเสพติด ออกมาจากเรือนจำได้ไม่นาน แต่ผู้ร้องเรียนปฏิเสธ จึงถูกดำเนินคดี ในความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติด (ยาบ้า) ทั้งที่ผู้ร้องเรียนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและเงินจำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้บังคับให้ผู้ร้องเรียนลงนามในบันทึกการจับกุมว่า เหตุเกิดบริเวณริมถนนบายพาสหลักกิโลเมตรที่ 2 ตำบลป่ามะม่วง อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งไม่เป็นความจริงเช่นกัน
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง บันทึกปากคำผู้เกี่ยวข้องและตรวจสอบเอกสารหลักฐาน เพื่อเสนอข้อมูลให้ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัย ต่อมาศาลจังหวัดตากมีหมายเรียกพยานบุคคลและพยานเอกสารจากสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยในชั้นศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้การของจำเลยและพยานบุคคลที่ให้ไว้ต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินกับที่ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนนั้นมีความแตกต่างกันมาก จึงเป็นข้อพิรุธสงสัยว่าที่เจ้าพนักงานตำรวจเบิกความว่ามีการวางแผนล่อซื้อและจับกุมจำเลยนั้นเป็นความจริงหรือไม่ อีกทั้งพยานบุคคลที่มีชื่อเกี่ยวข้องในบันทึกการจับกุมกล่าวถึงข้อเท็จจริงตามบันทึกการจับกุมแตกต่างกัน ทำให้ข้อเท็จจริงตามบันทึกการจับกุม ไม่มีน้ำหนักมั่นคงให้เชื่อถือรับฟังตามข้อเท็จจริงดังกล่าว พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีข้อพิรุธไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมจำเลยตามบันทึกการจับกุม ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติด อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยศาลจังหวัดตากอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 264/2558 คู่ความไม่ฎีกา คดีถึงที่สุดแล้ว โดยเรือนจำกลางตากได้ดำเนินการปล่อยตัวผู้ร้องเรียนแล้ว ทำให้เห็นได้ว่าความยุติธรรมในประเทศไทยนี่ยังมีอยู่จริง