ด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 30 บัญญัติให้บุคคลย่อมเสมอภาคกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 80 บัญญัติให้รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชนส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชาย เสริมสร้างและพัฒนาความ เป็นปึกแผ่นของครอบครัวและความเข้มแข็งของชุมชน
เมื่อพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 12 บัญญัติให้ "หญิงมีสามีให้ใช้ชื่อสกุลของสามี" ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่รับรองสิทธิของหญิงให้เท่าเทียมกับชาย ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงเสนอเรื่องดังกล่าวพร้อมความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติดังกล่าวมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาในขณะนั้นได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา 12 ที่บัญญัติให้หญิงมีสามีที่ได้สมรสกันตามกฎหมายต้องเปลี่ยนชื่อสกุล ของหญิงนั้นมาเป็นชื่อสกุลของสามีที่สมรส ทำให้หญิงมีสามีต้องถูกจำกัดสิทธิในการใช้ชื่อสกุล และการบัญญัติให้หญิงมีสามีใช้ชื่อสกุลของสามียังเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา จึงมีความเห็นว่าพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2504 มาตรา 12 บัญญัติให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีเป็นการขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จึงเสนอเรื่องพร้อม ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวแล้วเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2504 มีลักษณะเป็นบทบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีเท่านั้น อันเป็นการลิดรอนสิทธิในการใช้ชื่อสกุลของหญิงมีสามี เกิดความไม่เสมอภาคกัน ทางกฎหมาย อีกทั้งเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเนื่องจากการบังคับให้หญิงมีสามีใช้ชื่อสกุลของสามีเพียงฝ่ายเดียวโดยใช้สถานะการสมรส ดังนั้น พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2504 มาตรา 12 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ
ผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติชื่อบุคคล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 โดยการตราพระราชบัญญัติชื่อบุคคล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘ ออกมาใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๘ โดยให้ยกเลิกความ ในมาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๓ ที่กำหนดหลักเกณฑ์การใช้ชื่อสกุลของหญิงมีสามีซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญและกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ดังนี้
"มาตรา ๑๒ คู่สมรสมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตามที่ตกลงกันหรือต่างฝ่ายต่างใช้ชื่อสกุลเดิมของตน
การตกลงกันตามวรรคหนึ่ง จะกระทำเมื่อมีการสมรสหรือในระหว่างสมรสก็ได้
ข้อตกลงตามวรรคหนึ่ง คู่สมรสจะตกลงเปลี่ยนแปลงภายหลังก็ได้
มาตรา 13 เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่าหรือศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรส ให้ฝ่ายซึ่งใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่ายหนึ่งกลับไปใช้ชื่อสกุลเดิมของตน
เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยความตาย ให้ฝ่ายซึ่งยังมีชีวิตอยู่และใช้ชื่อสกุลของอีกฝ่ายหนึ่ง มีสิทธิใช้ชื่อสกุลนั้นได้ต่อไป แต่เมื่อจะสมรสใหม่ ให้กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิมของตน"